วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

การเรียนการสอนวิชาเทคโนโลยีเพื่อการออกแบบนิเทศศิลป์ ครั้งที่ 10 (24 เมษายน 2556)

1. เพื่อนในชั้นเรียนรายงานข่าวหน้าชั้นเรียนเรื่อง"เครื่องพิมพ์ 3 มิติ"และ"Camera Expert"
2. อาจารย์ประชิดอธิบายโฟลเดอร์และหน้าที่ต่างๆขิงโปรแกรม Wordpress
      apache  =  คือ App Tnternetwep Sever สำหรับ Admin
      cgi        =
      my.sql   =
      php       =   ภาษา php ภาษาที่ใช้สื่อสาร,เกี่ยวกับลิ้งค์,ตัวเชื่อมโยงต่างๆ
      phpmyadmin  =  ตัวเชื่อโยงต่างและจัดการระบบ
      root       =  เปรียบเสทือนพื้นที่กลาง,เก็บไฟล์ต่างๆเกี่ยวกับรูปพื้นหลัง
3. อาจารย์ประชิดสอนต่างเกี่ยวกับWordpress การแก้ไข Theme และเกร็ดต่างๆ
    3.1 ถ้า Wordpress ของเราเข้าสู่ระบบไม่ได้ให้พิมพ์ wp-login.php ต่อท้าย URL
    3.2 การศึกษาเรื่องการแก้ไขโค้ดต่างๆ

***การบ้าน โพสข้อมูลบล็อคลง Wordpress อย่างน้อย 3 บทความ***

วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2556

การเรียนการสอนวิชาเทคโนโลยีเพื่อการออกแบบนิเทศศิลป์ ครั้งที่ 9 (18 เมษายน 2556)

1. สอบกลางภาค ( 2 ข้อปฎิบัติ 1 ข้อสอบปรนัย)



ข้อที่ 1


1.1 จงนำสคริ๊ปนี้ใส่แสดงใน Gadget ด้านข้างให้พอดีขนาด โดยจัดไว้เป็นลำดับที่ 3 ของเว็บบล็อกของคุณ
1.2 เสร็จแล้ว โพสต์แจ้งใหทราบและลิงค์ให้สามารถเข้าตรวจใน Googleplus  ที่ติดต่อกับ prachid2009@gmail.com
var tweenui_pid = "5b951ee6-41f7-456b-b6d6-1c7cc8fa145a";
<script type="text/javascript" src="http://display.tweenui.com/show.js"></script>
<script type="text/javascript">


ข้อที่ 2
ให้สร้างหน้าเอกสารใหม่ใน googlesites ของคุณเอง ตั้งชื่อว่า mythesisแล้วให้ upload file ข้อเสนอโครงการ(Reseach Project) ขึ้นใส่ให้สามารถดาวน์โหลดได้

ข้อที่ 3
ข้อสอบปรนัย ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีสาระสนเทศ


2. อาจารย์ประชิดสอนให้ใช้ Google Translate และโปรแกรมแปลภาษาอื่นๆ

3.สอนใช้โปรแกรม Wordpress
3.1 ก่อนใช้โปรแกรมให้ปิดโปรแกรม Antivirus ทุกครั้ง เพราะไฟล์บางตัวในโปรแกรมนั้น โปรแกรมAntivirus อาจจะไม่รู้จักและคิดว่าเป็นไวรัส

 3.2 เข้าที่โฟลเดอร์ที่ได้มาจากการโหลด กดเข้าไอคอนที่ชื่อว่า usbwebserver





3.3 เครื่องหมายแสดงว่าโปรแกรม
พร้อมใช้งาน



3.4 กดที่ Local Host เพื่อที่จะเข้าไปที่หน้า http://localhost:8080/ แล้วหา  

http://localhost:8080/wordpressthaiedition กดเข้าไปเพื่อเข้าสู่ WordPress ของเรา





3.4 จะขึ้นหน้าลิ้งค์ http://localhost:8080/wordpressthaiedition/ 
ให้กดที่เข้าสู่ระบบ


 
3.5 พิมพ์ Username และ Password ลงไป (โปรแกรมของอาจารย์ประชิดตัวนี้เซ็ตไว้ว่าต้องเป็น admin  

ทั้ง Username และ Password)





3.6 เราก็จะเข้าสู่หน้าแก้ไขปรับแต่งทั้งหมดของเว็บไซต์ Wordpress เราสามารถแก้ไข Theme ของหน้า  



เว็บ เนื้อหาข้อมูล รวมถึงการตั้งค่าต่างๆได้ในหน้าเว็บนี้




การเรียนการสอนวิชาเทคโนโลยีเพื่อการออกแบบนิเทศศิลป์ ครั้งที่ 8 (17 เมษายน 2556)

1. อาจารย์ประชิดตรวจเอกสาร "ว1ด" ในคาบ
2. สมัครเว็บไซต์ "Dropbox" ซึ่งอาจารย์ประชิดจะฝากไฟล์ข้อมูลๆต่างในการเรียนการสอนเอาไว้ให้  
    นักศึกษาสามารถดึงไฟล์มาใช้งานได้
3. กรอก "ทำเนียบวิจัย : นักศึกษา" สำหรับนักศึกษาที่ส่งเอกสาร "ว1ด"
4. อาจารย์ประชิดสอนเรื่องการปรับแต่ง Google Site (การแก้ไขLayout)
5. สอนโปรแกรม Dreamweaver พื้นฐานต่างๆเกี่ยวกับการสร้างเว็บและการออกแบบ
6. โหลดโปรแกรม Wordpress จากเว็บไซต์ Wordpressthai และเซฟใส่ Flash Drive เพื่อใช้งาน
     ได้ทั้งที่บ้านและที่มหาวิทยาลัย


สิ่งที่ได้รับในการเรียน

การเรียนนอกเวลา - เพิ่ม Link ลงใน Google Site


1. สาระประโยชน์เกี่ยวกับงานวิจัย
      1.1 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
      1.2 งานวิจัยจะเข้าใจ-เข้าถึงได้ ทุกเพศทุกวัย ทุกที่ทุกเวลา เพียง แค่ ปลายนิ้ว
      1.3 คลังผลงานวิจัย ผลงานวิชาการ
 2. รวมลิ้งค์ข่าวไอที
      2.1 ข่าวสารไอที
      2.2 คอมพิวเตอร์เบื้องต้น/การแก้ไขปัญหาคอมพิวเตอร์เบื้องต้น
      2.3 กระทรวงไอซีที
3. Contect Us
      3.1 Facebook Fkft D. Apis
      3.2 Blogspot_denchai
การเรียนการสอนวิชาเทคโนโลยีเพื่อการออกแบบนิเทศศิลป์  ครั้งที่ 6-7  (11 เมษายน 2556)


1. อาจารย์ประชิดอธิบายเรื่อง Font ต่างๆเช่น การเลือกใช่ Font และการดูเจ้าของลิขสิทธิ์ของ Font
2. มีการรายงานข่าวเทคโนโลยีของเพื่อนร่วมชั้นเรียนเรื่อง "Technology Autodesk"
3. อาจารย์ประชิดให้นักศึกษาดาวโหลดใบเสนอของบประมาณวิยโครงการ 
4. เรื่องวิจัยโครงการ อาจารย์ประชิดสอนในนักศึกษาเจาะจงประเภทของงานวิจัยด้วย และระยะเวลาใน      
    การวิจัยต้องไม่เกิน 4 เดือนครึ่ง
5. การจัดรูปแบบของ Google Docs ให้เข้า File/Page Setup/Insert+Page Number
6. หลัก Vpat คือหลักของการทำวิจัย ได้แก่
  
    V    =   Variable (ตัวแปรที่ศึกษา) โดยแยกออกเป็น
    V1  =   ตัวแปรต้น คือสิ่งที่ศึกษาหรือกำลังศึกษาอยู่ (ความรู้,ข้อมูล,ผลประกอบการต่างๆ)
    V2  =   ตัวแปรตาม คือผลงานที่ออกมาสำเร็จแล้ว (คุณลักษณะที่ปรากฎ,เนื้อหา,ใครรับรอง,หรือช่วย   
                สนับสนุนว่าได้ผลอย่างไร)
  
    P    =   Population (ประชากรที่ร่วมศึกษา เช่น คน,สัตว์,สิ่งของ = กลุ่มเป้าหมาย)
    P1  =   ผลงานที่ออกมาสำเร็จ
    P2  =   ความเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้่อง

   A    =  Area (ขอบเขตที่จะกระทำหรือศึกษา)
   A1  =  เนื้อหา
   A2  =  ระยะเวลา
   A3  =  บุคคลที่ต้องการนำไปใช้
  
   T    = Time (ปีที่ทำ,ปีที่ผลิต)
การเรียนการสอนวิชาเทคโนโลยีเพื่อการออกแบบนิเทศศิลป์  ครั้งที่ 5  (10 เมษายน 2556)

1. โหลดFont "TH-Saraban PSK"(Fontทางราชการ)เพื่อนำไปพิมพ์เอกสาว "ว1ด" (ใบเสนอของบประมาณการ  
    วิจัย)
2. กรอกเอกสาร "ว1ด"โพสและแชร์ให้อาจารย์ใน Google Drive
3. อาจารย์ประชิดอธิบายองค์ประกอบและเครื่องมือต่างๆที่อยู่ใร Google Site
การเรียนการสอนวิชาเทคโนโลยีเพื่อการออกแบบนิเทศศิลป์  ครั้งที่ 3-4 (4 เมษายน 2556)

1. หลังจากที่สมัคร Googlr Site ไปแล้วเมื่อการเรียนการสอนครั้งที่ 3 ในการเรียนการสอนครั้งนี้ อาจารย์
    ประชิดได้ให้นักศึกษาใช้เทมเพลตที่อาจารย์ออกแบบเอง
    URLhttps://sites.google.com/site/chandraresearchers/

วันจันทร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2556

สงกรานต์นี้ มี Smart phone เดินทางไม่มีหลงทางด้วยแผนที่เสมือนจริง google maps street view

            ก่อนหน้านี้ถ้าพูดถึงแผ่นที่ก็ต้องกางออก แล้วมาร์คจุดที่จะไปเอาไว้ พอใกล้ๆถึงก็หาไม่เจอเพราะถนนมันดันไม่เหมือนในแผ่นที่ซะงั้น ต่อมาชีวิตดีขึ้นเมื่อมี google maps ดูจากมุมบนแต่ก็ยังมีบางทีที่พาหลงอยู่ดีเพราะมันมองไม่เห็นภาพถนนจริงๆ เรื่องการเดินทางเป็นเรื่องสำคัญบ้างครั้งพลาดนิดเดียว อาจเสียหายต้องกลับรถหลายกิโล หรือเสียเวลาเป็นชั่วโมงหากอยู่ในชั่วโมงเร่งด่วน เพราะงั้นแผนที่แบบไหนจะดีที่สุด มันคงต้องเป็นแผนที่แบบเหมือนจริงบนถนนใช่ไหมครับ?
 

Google maps พัฒนาขึ้นไปอีกด้วยแผนที่แบบ Street view ที่มองเห็นมุมมองถนนเหมือนเรายืนอยู่ตรงนั้นเลย ทำให้มองเห็นจุดสำคัญในบริเวณนั้นได้ชัดเจนและแน่นอน และสามารถลากเส้นทางไปตามถนนที่ต้องการได้ด้วยมุมมอง แบบสมจริง

และนอกจากการนำทางแล้วยังมีอีกหลายคนที่ใช้เป็นการนำเที่ยวไปในที่ต่างๆ ทั่วโลกโดยไม่ต้องเดินทางไป และในบ้างสถานที่ภาพที่ถูกเก็บมานั้นก็มีอะไรแปลกๆให้เราได้เห็นกันโดย บังเอิญด้วย นอกจากจะนำทางได้แล้วยังได้ความบันเทิงด้วยนะเนี่ย



ที่มาของข่าว  http://teen.mthai.com/lifesgood/hitech/537.html

Microsoft เริ่มกระบวนการปลดระวางระบบปฏิบัติการตกยุคอย่าง Windows XP แล้ว !!!

Microsoft เริ่มกระบวนการปลดระวางระบบปฏิบัติการตกยุคอย่าง Windows XP แล้ว !!!


ระบบ ปฏิบัติการจาก Microsoft ที่นับได้ว่ามีอายุยาวนานมากที่สุดตัวนึงอย่าง Windows XP ในที่สุดก็ได้ก้าวเข้ามาสู้ช่วงนับถอยหลัง 2 ปีสุดท้าย โฆษกของ Microsoft ได้เปิดเผยออกมาด้วยการโพสท์ลงบนบล็อกว่า Windows XP ที่ได้รับความนิยมสูงที่สุด และชุดโปรแกรมสำหรับสำนักงาน Office 2003 ทั้งสองตัวจะสิ้นสุดการรองรับสนับสนุนอย่างเป็นทางการในวันที่ 8 เมษายน 2014 ที่จะถึงนี้ หลังจากวันที่ 8 เมษายน 2014 เป็นต้นไป Microsoft จะยกเลิกจัดส่งและอัพเดทด้านความปลอดภัยสำหรับทั้ง Windows XP และ Office 2003
ตั้งแต่ ทำการเปิดตัว Windows XP และ Office 2003 ออกมาเป็นครั้งแรกในเดือนตุลาคม 2001 และ ตุลามคม 2003 ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลย ว่าซอฟท์แวร์ทั้งสองตัวนี้ ถือเป็นซอฟท์แวร์ที่เยี่ยมยอดที่สุดในเวลานั้น แต่ในวันนี้เมื่อโลกของเทคโนโลยีได้ก้าวกระโดดไปมาก มันก็กลายเป็นสิ่งที่ตกยุคไปซะแล้ว และหลังจาก 2 ปีต่อจากนี้ เมื่อ Microsoft ทำการถอดปลั๊ก Windows XP ออก นั่นก็นับรวมเวลาการเดินทางอันน่าทึ่งทั้งหมดของมันเป็นเวลากว่า 12 ปี และอีก 5 เดือน
ส่วน แบ่งตลาดของ Windows XP ก็ได้ตกลงมาเรื่อยๆแล้วในตอนนี้ เป็นผลพวงเนื่องด้วย Microsoft ก็ได้พยายามทำการกระตุ้นตลาด และผู้บริโภคให้หันมาใช้ระบบเวอร์ชั่นใหม่ๆ โดยเฉพาะกับวิธีการที่กระตุ้นให้ผู้ใช้งานโปรแกรมท่องเว็บสุดฮิตอย่าง Internet Explorer 6 ให้หันมาอัพเกรดเป็นเวอร์ชั่นที่ใหม่กว่า ด้วยเงื่อนไขที่ว่าการอัพเกรด Internet Explorer เวอร์ชั่นใหม่นั้น จะต้องใช้ระบบ Windows ตัวใหม่ด้วยเช่นกัน โดยถึงกับทำเครื่องมืออย่างเว็บไซต์ deathwatch ในเดือนมีนาคม 2011 เพื่อติดตามผลการใช้งาน Internet Explorer 6 ที่ลดลงเรื่อยๆ
สำหรับ ตอนนี้ก็ยังคงใช้งานกันไปได้อีกสักพัก และเชื่อแน่ว่าแม้จะมีการยกเลิกการสนับสนุน ตัดหางปล่อยวัดกันแล้ว ผู้ใช้เดิมที่ยังคงเหนียวแน่น ไม่ผันแปรไปไหน ก็น่าจะยังคงใช้งานต่อเนื่องต่อไปอยู่ดี หากว่าชีวิตการใช้งานทั่วไป ไม่ได้มีเหตุจำเป็นอะไรให้ต้องอัพเดทเป็นของใหม่กันล่ะ

ที่มาของข่าว  http://www.thailandexhibition.com/PR-News/5539

วันพฤหัสบดีที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2556

ใช้ iPhone ช่วยหา"ของหาย"ได้

ใช้ iPhone ช่วยหา"ของหาย"ได้ แม้คุณจะไม่ค่อยลืมของกระจุกกระจิก แต่เชื่อว่า ต้องมีสักครั้งที่คุณเคยลืมวางกุญแจ มือถื อ หรือแม้แต่กระเป๋าตังค์ไว้ทีไหนสักแห่งในบ้าน แล้วจำไม่ได้ - -" แต่แทนที่คุณจะต้องรื้อค้นสิ่งของจนกระจัดกระจายไปทั่วบ้าน ทำไมไม่ลองติดสิ่งของเหล่านี้ด้วยสติกเกอร์บลูทูธที่จะทำให้คุณสามารถหาพวกมันพบได้อย่างง่ายดายด้วย iPhone คู่ใจ



StickNFind ประกอบด้วย สติกเกอร์บลูทูธ ทำงานร่วมกับแอพฯ ซึ่งสามารถช่วยคุณค้นหาสิ่งของต่างๆ อย่างเช่น พวงกุญแจ กระเป๋าสตังค์ ฯลฯ ที่จำไม่ได้ว่า ลืมทิ้งไว้ที่ใดในบ้านได้ โดยขนาดของสติ๊กเกอร์จะเท่าๆ กับเหรียญฯ 25 เซ็นต์ ทำให้สามารถติดกับอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย เนื่องจากไม่ใช้พื้นที่มากนัก ในส่วนของแอพฯ StickNFind จะสามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนเมื่ออยู่ห่างสิ่งของเหล่านี้ในระยะห่างเท่าใด ซึ่งมันจะช่วยทำให้คุณไม่ลืมกุญแจ หรือกระเป๋าสตังค์ก่อนออกจากบ้าน เอ่อ...ซึ่งอาจจะหมายถึง การติด StickNFind ไว้กับเด็กเล็กขณะพาไปเที่ยวได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามระยะจำกัดของการ



























ตรวจจับจะประมาณ 10 ฟุต หรือ 3 เมตร และด้วยการเตือนให้ทราบได้ว่า สิ่งของดังกล่าวอยู่ห่างจากเราเป็นระยะทางแค่ไหนไกลเกินไปหรือเปล่า? ในทางกลับกันแอพฯ StickNFind ยังสามารถแจ้งให้ผู้ใช้ทราบได้ว่า คุณกำลังอยู่ใกล้สิ่งของที่กำลงหาอยู่ได้อีกด้วย เพียงแต่มันไม่สามารถระบุตำแหน่งที่ชัดเจนลงไปได้ว่า ของที่คุณกำลังหาอยู่ตรงไหนกันแน่ๆ แต่จะรู้ว่า มันอยู่ห่างจากตัวคุณในระยะ 1 - 3 เมตร ขึ้นอยู่กับข้อมูลทีแสดงบนแอพฯ ซึ่งแค่พยายามมองหาอีกเล็กน้อยคุณก็น่าจะพบสิ่งของที่หายไปได้ เพราะในตัวสติ๊กเกอร์บลูทูธจะสามารถส่งเสียง หรือไฟกระพริบใหัคุณสังเกตเห็นได้ง่าย สติเกอร์บลูทูธของ StickNFind จะมีการใส่แบตเตอรี่ด้วย แต่แบตฯก้อนหนึ่งอยู่ได้เป็นปี หากมีการใช้งานเฉลี่ย 30 นาทีต่อวัน (ลืม หรือหาไม่เจอเป็นประจำทุกวัน - -") StickNFind เป็นโปรเจ็กต์ระดมทุนอยู่บนเว็บไซต์ Indiegogo ผู้สนใจร่วมโครงการร เพียงแค่สนับสนุน 35 เหรียญฯ (ประมาณ 1,100 บาท) คุณจะได้บลูทูธสติ๊กเกอร์ 2 อัน และ 65 เหรียญฯ (ประมาณ 2,000 บาท) คุณจะได้ 4 อัน 90 เหรียญฯ (ประมาณ 2,700 บาท) 6 อัน และ 150 เหรียญฯ (ประมาณ 4,500 บาท) 10 อัน เป้าหมายของการระดมทุนคือ 10,000 เหรียญฯ (ประมาณ 300,000 บาท) ขณะรายงานข่าวตอนนี้ได้ 27,628 เหรียญฯ และเหลือเวลาอีก 45 วัน

http://www.youtube.com/watch?v=6lkiblLfkVk&feature=player_embedded#!
 ที่มาของข่าว
http://www.arip.co.th/news.php?id=415915

สร้างห้องสมุดในฝ่ามือด้วยคินเดิล


สร้างห้องสมุดในฝ่ามือด้วยคินเดิล
   ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านทุกท่านมีอุปกรณ์ สุดรักประจำตัว ตัวอย่างเช่น โทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อต่าง ๆ ไอโฟน ไอแพด ไอพอด แท็บเล็ต กล้องดิจิทัล และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่สำหรับผมแล้ว อุปกรณ์ที่ผมพกติดตัวแทบจะตลอดเวลาคือ คินเดิล (Kindle) ครับ คินเดิลคืออุปกรณ์อ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์หรือเครื่องอ่านอีบุ๊กของอเมซอน (Amazon.com) ซึ่งเป็นเว็บขายหนังสือที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในบทความนี้ ผมจะเล่าประสบการณ์ในการใช้คินเดิลว่า มีข้อดีและข้อเสียอย่างไรบ้าง เมื่อเปรียบเทียบกับหนังสือปกติที่เราคุ้นเคยครับ

1. คินเดิลหนึ่งเครื่องบรรจุอีบุ๊กได้ประมาณหนึ่งพันเล่ม ดังนั้นคินเดิลแก้ปัญหาใหญ่ของคนรักหนังสือคือ มีหนังสือจำนวนมากจนพื้นที่ไม่พอ ขณะนี้คินเดิลของผมมีอีบุ๊กประมาณ 60 เล่ม กล่าวได้ว่าเป็นห้องสมุดขนาดเล็กได้แล้ว ดังนั้นผู้ที่เดินทางบ่อย ๆ ไม่ต้องลังเลว่าจะนำหนังสือเล่มไหนไปอ่านระหว่างเดินทาง เพราะเราอ่านได้ทุกเล่มบนคินเดิลครับ อีกทั้งคินเดิลมีน้ำหนักเบา ผมจึงพกคินเดิลติดตัวเกือบตลอดเวลาได้อย่างสะดวก

2. การซื้ออีบุ๊กทำได้สะดวกมาก เพราะเพียงแค่มีสัญญาณไวไฟ ก็เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตแล้วซื้อหนังสือจากอเมซอนได้ทันที ก่อนหน้านี้ เวลาที่ผมซื้อหนังสือจากอเมซอน จะต้องเสียค่าหนังสือ ค่าส่ง และรอคอยหนังสืออีกประมาณสองสัปดาห์จึงจะได้หนังสือ แต่ปัจจุบัน การซื้ออีบุ๊กบนคินเดิลใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีและไม่ต้องเสียค่าส่ง ก็ได้หนังสือทั้งเล่มแล้ว อีกทั้งอีบุ๊กจะราคาถูกกว่าหนังสือเล่มจริงด้วย ในอินเทอร์เน็ตมีอีบุ๊กฟรีจำนวนมาก ดังนั้นเราดาวน์โหลดอีบุ๊กฟรีมาอ่านได้ และอีบุ๊กเกือบทุกเล่มในอเมซอนมีบทฟรีให้เราอ่านก่อนซื้อ ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องซื้ออีบุ๊กทั้งเล่มก็ได้ แค่อ่านเฉพาะบทที่แจกฟรีก็มีมากมายมหาศาลจนอ่านไม่ไหวแล้วครับ ปีนี้ผมจึงอ่านหนังสือได้มากกว่าปีก่อน ๆ มาก เพราะซื้อหนังสือที่ต้องการได้สะดวกครับ

3. จุดเด่นที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของคินเดิลคือ ใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า อีอิงก์ (e-ink) หรือหมึกอิเล็ก ทรอนิกส์ ซึ่งทำให้รู้สึกราว กับว่ากำลังอ่านหนังสือจริง ๆ โดยไม่มีแสงสะท้อน จากหน้าจอ ซึ่งต่าง จากการอ่านบทความหรือหนังสือในแท็บ เล็ตครับ ข้อดีของอีอิงก์คือ ทำให้เราอ่านหนังสือนาน ๆ ได้โดยไม่เมื่อยตา ซึ่งผิดกับการมองหน้าจอแท็บเล็ตนาน ๆ จะรู้สึกเพลียสายตา แต่นี่คือข้อเสียของคินเดิลรุ่นเก่าเช่นกัน เพราะเราอ่านหนังสือในที่มืดไม่ได้ครับ เนื่องจากไม่มีแสงสะท้อน ยกเว้นคินเดิลรุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งมีแสงสว่างทำให้อ่านในที่มืดได้

 อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักของคินเดิลขณะนี้คือ อีบุ๊กภาษาไทยยังมีน้อย เพราะต้องแปลงให้อยู่ในรูปแบบของคินเดิลก่อน จึงจะอ่านได้ ดังนั้นคินเดิลเหมาะสำหรับผู้ที่ชอบอ่านหนังสือภาษาอังกฤษครับ ขีดจำกัดอีกประการหนึ่งของคินเดิลคือ อ่านได้เฉพาะหนังสือขาวดำเท่านั้น ยังไม่สามารถอ่านหนังสือสีได้ครับ คงต้องรออีกสักพัก จึงจะมีคินเดิลรุ่นที่อ่านหนังสือสีได้ ถ้าท่านผู้อ่านอยากทดลองใช้อีบุ๊กของคินเดิลว่าเป็นอย่างไร โดยไม่ต้องซื้อตัวเครื่องคินเดิล ก็สามารถติดตั้งซอฟต์แวร์คินเดิลซึ่งมีอยู่ในทุกระบบปฏิบัติการ รวมทั้งโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ฟรี จาก www.amazon.com ผมหวังว่าในอนาคตอันใกล้ คงจะได้อ่านหนังสือที่โด่งดังและมีจำนวนหลายเล่มเช่น มังกรหยก พล นิกร กิมหงวน หรือเพชรพระอุมาในอีบุ๊กโดยไม่ต้องถือหนังสือหนา ๆ อีกต่อไปครับ.

 ธงชัย โรจน์กังสดาล
ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ที่มาของข่าว http://www.dailynews.co.th/technology/170901

Google Translate "ไม่ต่อเน็ต"ก็แปลได้

 Google Translate "ไม่ต่อเน็ต"ก็แปลได้

  ใครที่ชื่นชอบแอพกูเกิ้ลแปลภาษา หรือ Google Translate แต่รู้สึกไม่ค่อยสะดวกในบางครั้ง เนื่องจากมันต้องออนไลน์เวลาทำงาน ไม่มีเน็ตก็ใช้งานไม่ได้ ล่าสุด Google ได้ทำให้ผู้ใช้ง่ายขึ้นกว่าเดิมด้วยการอัพเดทให้แอพ Google Translate เวอร์ชันบน Android รองรับชุดข้อมูลแปลภาษาแบบออฟไลน์ ซึ่งหมายความว่า คุณจะยังคงสามารถใช้งานแอพตัวนี้ได้ แม้จะไม่มีเน็ตให้เชื่อมต่อขณะนั้นก็ตาม รายงานข่าวล่าสุด Google Translate 2.6 เวอร์ชันใหม่ที่ทำงานบน Android 2.3 ขึ้นไป และเปิดให้อัพเดทได้ตั้งแต่วันนี้ ทาง Google ได้สนับสนุนการแปลข้อความในภาษาเกาหลี ญี่ปุ่น และจีนด้วยกล้องบนสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ตได้แล้ว แต่ก็ยังไม่เท่ากับคุณสมบัติใหม่ที่น่าสนใจกว่า นั่นก็คือ การเพิ่มการสนับสนุนการใช้งาน Google Translate ในรูปแบบออฟไลน์ โดยทำงานร่วมกับชุดข้อมูลแปลภาษาต่างๆ ที่สามารถดาวน์โหลดเข้าไปไว้ในอุปกรณ์ได้ แม้คุณสมบัติการแปลภาษาแบบ Offline จะได้รับการเพิ่มเติมเข้าไปใน Google Translate เวอร์ชันใหม่แล้วก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่คุณผู้อ่านต้องทำใจไว้ล่วงหน้าก็คือ ความสามารถในการทำงานแบบออฟไลน์จะไม่เท่ากับเวอร์ชันออนไลน์ ยกตัวอย่างเช่น Google Translate ในโหมดการทำงานแบบออฟไลน์จะไม่มีตัวเลือกในการสั่งให้อ่านออกเสียงข้อความที่แปล ในขณะเดียวกัน ผู้ใช้อุปกรณ์ iOS ยังต้องรอเวอร์ชันออฟไลน์ทีทำงานร่วมกับชุดแปลภาษาได้ไปก่อน ซึ่งทาง Google ไม่ได้ให้ข้อมูลที่ชัดเจนว่า Google Translate for iOS เวอร์ชันใหม่ที่สนับสนุน Offline จะออกเมื่อไร และจะมีฟีเจอร์นี้ให้ด้วย หรือเปล่า?

สำหรับการดาวน์โหลด language packs ทีมีอยู่มากกว่า 50 ชุดแปลภาษา สามารถทำได้โดยแตะที่ปุ่ม Menu เลือกคำสั่ง Offline languages จากนั้นเลือกชุดภาษาทีต้องการดาวน์โหลด ทั้งนี้ตัวแอพจะแสดงหน้าต่างปีอปอัพขึ้นมาให้เลือกด้วยว่า จะดาวน์โหลดไฟล์ต่างๆ ผ่านทางเครือข่ายมือถือ หรือ Wi-Fi เมื่อการดาวน์โหลดไฟล์ชุดแปลภาษาเริ่มต้นขึ้น ผู้ใช้จะสังเกตเห็นความคืบหน้าในการโหลดได้ในเซ็คชั่นการติดตั้ง ในส่วนของการทดสอบการใช้งาน ให้ตั้งค่าโหมดการทำงานเป็น Airplane จากนั้นเปิดแอพ Google Translate คุณจะเห็นคำว่า OFFLINE อยู่ใต้ข้อความที่แปล

ที่มาของข่าว http://www.arip.co.th/news.php?id=416521

IE 11 อาจรองรับกราฟฟิกแบบ 3 มิติ

IE 11 อาจรองรับกราฟฟิกแบบ 3 มิติ
IE 11 อาจรองรับกราฟฟิกแบบ 3 มิติ ? จากการที่มี Windows Blue หลุดออกมาให้ดาวน์โหลดไปทดลองใช้กัน ก็มีผู้ไปค้นพบว่า Intenet Explorer เวอร์ชั่นใหม่เตรียมพร้อมสำหรับการแสดงผลแบบ 3 มิติหรือที่เรียกว่า WebGL แล้ว
WebGL เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยแสดงผลกราฟฟิกแบบ 3 มิติขึ้นมาสำหรับเว็บเบราว์เซอร์โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งปลั๊กอินเพิ่ม ซึ่งปัจจุบันเบราว์เซอร์อย่าง Firefox, Chrome, Safari ได้ใช้เทคโนโลยีนี้กันมาพอสมควรแล้ว มีเพียงไมโครซอฟท์ที่ยังดึงดันไม่ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวโดยให้เหตุผลเรื่องความปลอดภัย ที่อาจเป็นช่องโหว่ของการโจมตีจากแฮคเกอร์ได้ อย่างไรก็ดูเหมือนว่าไมโครซอฟท์คงจะศึกษาเรื่องนี้มาเป็นอย่างดีจึงได้มีการใส่ WebGL เพิ่มขึ้นมาใน IE 11 ซึ่งถูกค้นพบโดยผู้ที่ดาวน์โหลด Window Blue รุ่นทดสอบ โดยการใช้เทคโนโลยีนี้จะมีประโยชน์สำหรับการรันโปรแกรมที่ต้องใช้กราฟฟิกสูงเช่น การเล่นเกม, การสร้างแผนที่ และงานอื่นๆ เป็นต้น ทั้งนี้เทคโนโลยี WebGL บน Internet Explorer 11 ภายใต้ Windows Blue ทางไมโครซอฟท์ยังไม่ได้ออกมาปฏิเสธต่อข้อมูลที่มีการค้นพบแต่อย่างใด จึงมีโอกาสที่ WebGL บน IE 11 จะเกิดขึ้นจริงตามที่ผู้ใช้งานแสดงความต้องการมากที่สุด

ที่มาของข่าว http://www.arip.co.th/news.php?id=416541